|   | 
                     
                     
                      | พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น 
                         | 
                        | 
                      ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนานี | 
                     
                     
                      | ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบูราณี | 
                        | 
                      ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร | 
                     
                     
                      | พิเคราะห์น้ำสมคำบูราณกล่าว | 
                        | 
                      ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ | 
                     
                     
                      | ถนอมหอนกลิ่นนุชเป็นสุดใจ | 
                        | 
                      โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา | 
                     
                   
                     | 
              
               
                |   สุนทรภู่มาถึงบ่อพรานล้างเนื้อก็มีอาการคลื่นไส้เพราะกลิ่มคาวเหม็นบ่อพรานล้างเนื้ออยู่ห่างจากวัดพระพุทธบาท 
                    1 กิโลเมตร เชื่อกันว่าพรานบุญ ผู้ซึ่งค้นพบรอยพระพุทธบาท ได้เคยล้างเนื้อในบ่อนี้จึงมีผู้นับถือกันว่าเป็นเป็นบ่อน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่ง 
                    และในบริเวณใกล้เคียงกันยังมีบ่อปักหอก ซึ่งมีสภาพเป็นรูเล็ก 
                    ๆ ปรากฏอยู่บนหิน เชื่อกันว่าพรานบุญได้ใช้บ่อนี้เป็นที่ปักหอกไว้ 
                    บ่อน้ำนี้จะมีน้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา มีผู้นับถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ 
                    โดยเฉพาะชาวจีนซึ่งพากันเดินทางเพื่อจะได้น้ำในบ่อนี้ไปบริโภค 
                    | 
              
               
                 | 
              
               
                 
                    
                       
                         | 
                       
                       
                         
                            บ่อพรานล้างเนื้อ เชื่อกันว่าพรานบุญล้างเนื้อในบ่อนี้ 
                            | 
                       
                     
                    | 
              
               
                สำหรับประวัติพระพุทธบาทที่ควรกล่าวถึงดังนี้ 
                  ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีพระภิกษุสงฆ์ชาวไทยคณะหนึ่ง พากันเดินทางไปยังลังกาทวีป 
                  ด้วยหวังจะสักการบูชาพระพุทธบาท ณ เขาสุมนกูฏ การไปคราวนั้นประจวบกับเป็นเวลาที่พระสงฆ์ชาวลังกาทวีปกำลังขวนขวายสอบสวนประวัติ 
                  และที่ตั้งแห่งรอยพระพุทธบาททั้งปวงตามที่ปรากฏอยู่ในตำนานว่ามีถึง 
                  5 แห่ง ภายหลังสืบ ได้ความว่าภูเขาที่ชื่อว่า สุวรรณบรรพตมีอยู่ในสยามประเทศ 
                  ครั้นเมื่อได้พบกับพระภิกษุสงฆ์ชาวไทยในคราวนั้นต่างพากันสอบถามว่ารอยพระพุทธบาท 
                  ที่มีอยู่ 5 แห่ง ในสถานที่ต่าง ๆ กันนั้น ปรากฏว่ามีที่เขาสุวรรณบรรพตแห่ง 
                  1 ก็ภูเขาลูกนี้อยู่ในประเทศไทยแท้ ๆ ไฉนจึงไม่พยายามสืบเสาะไปนมัสการ 
                  กลับพากันมาถึงลังกาทวีป เป็นการหมดเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ เมื่อพระภิกษุสงฆ์ไทยคณะนั้นได้รับคำบอกเล่าดังนี้แล้ว 
                  กลับมาสู่ประเทศไทย จึงนำความขึ้นถวายพระพรแต่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม 
                  พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตรงสั่งบรรดาหัวเมืองทั้งปวง ให้เที่ยวตรวจตราค้นดูตามภูเขาต่าง 
                  ๆ ว่าจะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ ที่แห่งใด 
                  * บุญเลิศ เสนานนท์ นักภาษาโบราณ 7 ว.หอสมุดแห่งชาติ  | 
              
               
                | ครั้งนั้น เจ้าเมืองสระบุรี สืบได้ความจากนายพรานบุญว่า 
                  ครั้งหนึ่งออกไปล่าเนื้อในป่าใกล้เชิงเขา ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งเจ็บลำบากหนีขึ้นไปบนไหล่เขา 
                  ซุกเข้าเชิงไม้หายไป พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้น วิ่งออกจากเชิงไม้เป็นปกติอย่างเก่า 
                  นายพรานบุญนึกประหลาดใจ จึงตามขึ้นไปดูสถานที่บนไหล่เขาที่เนื้อหนีขึ้นไป 
                  ก็พบรอยปรากฏอยู่ในศิลา มีลักษณะเหมือนรูป รอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณสักศอกเศษ 
                  และ ในรอยนั้นมีน้ำขังอยู่ด้วย นายพรานบุญเข้าใจ ว่าบาดแผลของเนื้อตัวที่ถูกตนยิง 
                  คงหายเพราะดื่มน้ำในรอยนั้น จึงวักน้ำลองเอามาทาตัวดู บรรดาโรคผิงหนังคือ 
                  กลากเกลื้อน ซึ่งเป็นเรื้อรังมาช้านานแล้ว ก็หายหมดสิ้น เจ้าเมืองสระบุรี 
                  จึงสอบสวนความจริงดู ก็ตรวจค้นพบรอยนั้น สมดังคำบอกเล่าของนายพรานบุญ 
                  จึงมีใบบอกแจ้งเรื่องเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา  | 
              
               
                | สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป 
                  ณ ที่เขานั้น ทอดพระเนตรเห็นรอยนั้นแล้ว จึงทรงพระราชวิจารณ์ตระหนักแน่นพระราชหฤทัยว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาท 
                  เพราะมีลายลักษณ์กงจักร ประกอบด้วยอัฏฐุตตรสตมหามงคลร้อยแปดประการ 
                  ตรงกับเรื่องที่ชาวลังกาทวีปแจ้งเข้ามาด้วย เกิดพระราชศรัทธาปราโมทย์โสมนัสเป็นกำลัง 
                  โดยทรงพระราชดำริเห็นว่ารอยพระพุทธบาทย่อมจัดเป็นบริโภคเจดีย์แท้ 
                  เพราะเป็นพุทธบทวลัญช์อันเนื่องมาแต่พระพุทธองค์ ย่อมประเสริฐยิ่งกว่าอุเทสิกเจดีย์ 
                  เช่น พระพุทธรูป และพระสถูปเจดีย์ อันเป็นสิ่งที่สมมติสร้างกันขึ้น 
                  สมควรจะยกย่องบูชาเป็นพระมหาเจดียสถาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
                  ให้ช่างก่อเป็นคฤหหลังน้อย สวมรอยพระพุทธบาทไว้เป็นการชั่วคราวก่อนแล้ว 
                  ครั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังราชธานี จึงทรงเริ่มงานสถาปนายก 
                  ที่พระพุทธบาทขึ้นเป็นเจดียสถานเป็นการใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑปยอดเดี่ยวสวมรอยพระพุทธบาทกำหนดเป็นพุทธเจดีย์ 
                  และสร้างอารามวัตถุอื่น ๆ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ 
                  เสนาสนสงฆ์ เป็นต้น จัดเป็นสังฆาราม ให้เป็นที่สำหรับพระภิกษุอยู่แรมพรรษา | 
              
               
                | คณะของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ และสุนทรภู่ได้มากราบนมัสการพระพุทธบาทเป็นเวลา 
                  4 วัน ก็เดินทางกลับโดยพรรณาไว้ในบทสุดท้ายว่า | 
              
               
                 
                     
                      |   | 
                     
                     
                      | แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา | 
                        | 
                      บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | 
                     
                     
                      | บังคมคัลวันละสองเวลาเวียนี | 
                        | 
                      แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน | 
                     
                     
                      | จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง | 
                        | 
                      จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | 
                     
                     
                      | วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ | 
                        | 
                      อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | 
                     
                   
                     |