หน้าแรก | กิตติกรรมประกาศ | วัตถุประสงค์ | บทคัดย่อ | ขั้นรวบรวมข้อมูล | ที่มาและความสำคัญ | อัตชีวประวัติสุนทรภู่ | ผลการศึกษา | สรุปผลการศึกษา | ทีมงาน
 

นิราศพระบาท
ใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และสร้างงาน บูรณาการร่วมกับโครงงานภาษาไทย และสังคมศึกษา
โดยร่วม
กันศึกษาจากสภาพจริง คิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาสรุปเป็นองค์ความรู้ แล้วเรียบเรียง ออกแบบ พัฒนาเป็นผลงานในรูปแบบ Website เพื่อเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
โดยร่วมมือกับโครงการเยาวชนสร้างสรรค์เนื้อหาสำหรับห้องสมุดดิจิทัล (Digital Library)
โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
     
ดังศรสักปักช้ำระกำทรวง เสียดายดวงจันทราพงางาม
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม
จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท
จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร
นมัสการรอยบาทพระศาสดา
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา   ที่ตั้งตาแลแลตามแพราย...
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต   ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น...
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก   เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี   ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง   เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น...
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิค   นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล...
...ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต   เหมือนซื่อจิตพี่ตรงจำนงสมร...
...ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่   ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง...
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน   เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว   พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก   ตะหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
ต้องน้ำค้างช่อชุมเป็นพุ่มพวง   กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง
แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง...   เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น
ถึงแขวงแพแลตลอดตลาดขวัญ   เป็นเมืองจันตะประเทศระโหฐาน
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน   เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม   ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
ใส่เสื้อตึงรึงรัดอยู่อัดแอ   พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
ชมคณาฝูงนางมากลางชล   สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย   หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก   เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน   พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว...
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง   โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย   โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม   ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน   สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น   ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน   ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ   เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน   ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก   พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง   จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก   ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง   เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น   เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง   ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่   หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี   จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป
ถึงวัดตำหนักพักพลพอเสวย   แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล...
ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ   ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง   ต้องแยกทางสองแควกระแสชล
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม   ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์...
...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ   นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ   ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม   เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน...
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม   เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ว่าคุ้งหน้าท่าเรือข้ามกระแส   พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ...
...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง   เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา   ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น   พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง   จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง   ออกแจ้งจริงเหลือจะจำไปคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร   การเปรียญโบสถ์กุฎีชำรุดพัง...
ถึงคลองสระประทุมานาวาราย   น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลั่งก็รั้งรก   เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา   ดังป่าช้าพงชัฎสงัดคน
อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์   เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน   จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก   จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง   ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก   ชตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่าตายายเราท่านเล่ามา   เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริยวงศ์ดำรงโลก   ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน   เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก   ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย   โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินทร์สิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค   ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย   ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง...
สุริยนเย็นสนธยาย่ำ   ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ   ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก   จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามา   หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮึอ...
...ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย   พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร   เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้งรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน   จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา
เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ   ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา   แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน   ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง   หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ...
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก   จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน   ถึงปากจั่นตะละเตือนให้ตรอมใจ...
...ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ   เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย...
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง   ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น...
...ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่   แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย...
...ถึงอรัญญิกแดดแผดพยับ   เสโทซับซาบโทมนัสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา   ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด   ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกขะเยื้อนใบ   ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด   เรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ   ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด   อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม   พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี
ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสิกขา   ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี   แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย...
...กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก   มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เด่นดีขี่กูบไม่แกว่งไกว   วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง   เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง   พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์   เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ...
...สดับเสียงสัปบุรุษที่หยุดพัก   เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร   ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน...
...เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร   กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นก็เซ็งแซ่   บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง   บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง   เสียงโฉ่งฉ่างชามแตกกระแทกขัน
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน   หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก   กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย   เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน
สงสารนางชาวในที่ไปด้วย   ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน   เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา   แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
มือตะกายสายรัดสคนคอ   เห็นช้างงองวงหนีดก็หวีดอึง
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด   สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง   ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด   ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว   บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก   บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์   รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง   เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน   ขะเยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง   ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย...
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด   ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง   ไม้สล้างลู่ล้มระทมทับ
รุกขชาติดาษดูระดะป่า   สกุณาจอแจประจำจับ
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ   จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ   ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร   ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง   บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
มีโพธิพุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น   ไม่ว่างเว้นสัปปบุรุษเขาหยุดเรียง
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า   จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง   เห็นของเรียงอยู่ในร้านทั้งหวานคาว
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง   เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
พี่คลื่นไส้ไสช้างให้ย่างยาว   มาตามราวมรคาพนาวัน
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน   ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน   ไก่เถื่อนขันขานเขาชะวาคู
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก   ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู...
...ระยะเดินเถินทางมากลางป่า   สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่...
...ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง   เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงคาดำ
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง   รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ...
...กำหนดนับมรคำพยายาม   ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย...
...จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย   จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง   พะยอมยางตาพยัคฆ์พะยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง   นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ...
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร   ในบริเวณอึกกระทึกด้วยพฤกษา
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา   จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน...
...ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน   เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล...
...ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล   จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ   ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ   ให้ป้องกันอันตรายในแนวไพร...
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ   ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร   รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด   ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม   สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น   ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
ทั้งไพร่นายรายเรียงกันเรียดไป   ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ   ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง   ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว   วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
ทุกที่ทับสับบุรุษก็พูดพึม   รุกขาครื้มครอบแสงพระจันทร
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม   ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
เป็นวันบรรณรสีรวีวร   พระจันทรทรงกลดรจนา
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป   กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา   จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก   ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย   พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
ดอกไม้ร้องป้องปีบสนั่นป่า   ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน...
     
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก   บริโภคโภชนากระยาหาร
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ   เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น   พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย   ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค   มีรูปรากษสสองอสูรขยัน
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน   ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น   ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น   ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
มีต้นกำมพฤกษ์ทานในลานวัด   ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย   บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น   มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว   ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น   สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง   พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด   ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน   ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจุกแจ่ม   กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
มีดอกจันทน์ก้านแยงสลับลาย   กลางกระจายดอกจอกประจำทำ
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์   เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ   กินนรร่ำรายเทพประนมกร
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข   สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร   กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย   ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง   วิเวกวังเวงในหัวใจครัน
บานทวารลานแลล้วนลายมุก   น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์   รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว   เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
ชมภูพานกอดก้านกระหนกรุม   สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑเหิร   พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์   เสด็จทรงคชสารในบานบัง
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน   โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง   ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น   ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม   พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย   ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย   ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท   อภิวาทห้ตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง   เดชะกองกุศลที่ตนทำ
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว   ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์...
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท   เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน   มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย   เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง   มีกุฏิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
มีชะวากคูหาศิลาหุบ   ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
แต่คนนมัสการนานอนันต์   บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย...
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา   ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา   ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ   กงกระทบเขากระจายทลายหมด
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ   จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน...
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ   ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน   พิศเพลินพฤกษาบรรดามี
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก   ชื่อสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศร
สำคัญปากคูหาศาลามี   ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ห้อย   มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน...
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น   สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง   เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดดิน
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้   เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน   กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น   ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ   ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว   ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน   ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา   รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน
บนยอดเขามีสองสุนักขา   สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน   สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง...
ถึงคูหาชื่อชาลวันถ้ำ   วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง   เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
สมมติแลแง่หินชะง่อนหุบ   เป็นที่รูปสิงห์สัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง   ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ   เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว   ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม   ศิลาแวววาววามอร่ามฉาย...
จะกลับหลังยังพระพุทธบาท   เหนื่อยอนาฤอกใจมิใช่เล่น
ครั้นค่ำนอนตะละตายทั้งกายเย็น   ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ   ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง   เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
สารพันกันภัยลูกนาคพช   เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย   เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า   ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว   มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง
พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพง   เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง   ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม   วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร   เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม   โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง   กระทั่งถึงธารเกษมค่อยส่างใจ
ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย   พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว   สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า   ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน   ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง   ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม   ให้แสนโทมนัสทัศนา
คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ   สนุกคือเรื่องอิเหนาเสนหา
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา   อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช   สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน   แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ   ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม   แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย   ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
ล้วนจับคู่ชู้ชายชะม้ายเมียง   ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน...
ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่   ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ   เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า   เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง   หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
มีละคอนผู้คนอลหม่าน   กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป   พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก   ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ   บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน
ละคอนหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ   ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน   ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด   ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ   คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก   จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์   พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา   บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน   แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน
จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง   จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ   อภิวันท์ลาบาทพระชินวร
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด   ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร   น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด   โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย   เราจดหมายตามมีมาชี้แจง
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่   ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง   ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ