| โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง | 
                    
                     
                      |   | 
                        | 
                        | 
                    
                     
                      | ดังศรสักปักช้ำระกำทรวง | 
                        | 
                      เสียดายดวงจันทราพงางาม 
                         | 
                    
                     
                      | เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ | 
                       | 
                      แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม 
                         | 
                    
                     
                      จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม  
                         | 
                       | 
                      จากอารามแรมร้างทางกันดาร  | 
                    
                     
                      ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท  
                         | 
                       | 
                      จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร  | 
                    
                     
                      ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร  
                         | 
                       | 
                      นมัสการรอยบาทพระศาสดา  | 
                    
                     
                      | วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ | 
                       | 
                      พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า | 
                    
                     
                      | รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา | 
                        | 
                       ที่ตั้งตาแลแลตามแพราย... | 
                    
                     
                      | ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต 
                         | 
                        | 
                      ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น... | 
                    
                     
                      | ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก 
                         | 
                        | 
                      เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี | 
                    
                     
                      | ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี | 
                        | 
                      ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน | 
                    
                     
                      | จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง  | 
                        | 
                       เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น... | 
                    
                     
                      | ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิค | 
                        | 
                      นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล... | 
                    
                     
                      | ...ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต 
                         | 
                        | 
                      เหมือนซื่อจิตพี่ตรงจำนงสมร... | 
                    
                     
                      | ...ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ 
                         | 
                        | 
                      ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง... | 
                    
                     
                      | ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน  | 
                        | 
                      เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว | 
                    
                     
                      | จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว  | 
                        | 
                      พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง | 
                    
                     
                      |  พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก  | 
                        | 
                      ตะหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง | 
                    
                     
                      | ต้องน้ำค้างช่อชุมเป็นพุ่มพวง | 
                        | 
                       กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง  | 
                    
                     
                      | แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง... | 
                        | 
                      เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น 
                         | 
                    
                     
                      | ถึงแขวงแพแลตลอดตลาดขวัญ 
                         | 
                        | 
                      เป็นเมืองจันตะประเทศระโหฐาน | 
                    
                     
                      | ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน  | 
                        | 
                       เรือขนานจอดโจษกันจอแจ | 
                    
                     
                      | พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม  | 
                        | 
                      ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ | 
                    
                     
                      | ใส่เสื้อตึงรึงรัดอยู่อัดแอ  | 
                        | 
                      พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย | 
                    
                     
                      | ชมคณาฝูงนางมากลางชล  | 
                        | 
                       สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย | 
                    
                     
                      | ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย 
                         | 
                        | 
                      หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน | 
                    
                     
                      | แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก  | 
                        | 
                      เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น | 
                    
                     
                      | ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน 
                         | 
                        | 
                       พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว... | 
                    
                     
                      | ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง 
                         | 
                        | 
                      โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย | 
                    
                     
                      | พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย  | 
                        | 
                      โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล | 
                    
                     
                      | ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม 
                         | 
                        | 
                      ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน | 
                    
                     
                      | ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน  | 
                        | 
                       สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน | 
                    
                     
                      | เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น  | 
                        | 
                      ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น | 
                    
                     
                      |  เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน  | 
                        | 
                      ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล | 
                    
                     
                      | เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ  | 
                        | 
                      เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน | 
                    
                     
                      |  เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน  | 
                        | 
                      ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง | 
                    
                     
                      | ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก 
                         | 
                        | 
                      พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง | 
                    
                     
                      | เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง  | 
                        | 
                      จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง | 
                    
                     
                      |  พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก 
                         | 
                        | 
                      ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง | 
                    
                     
                      | ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง  | 
                        | 
                      เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง | 
                    
                     
                      | ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น  | 
                        | 
                       เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง | 
                    
                     
                      | เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง  | 
                        | 
                       ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี | 
                    
                     
                      | ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่ 
                         | 
                        | 
                      หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี | 
                    
                     
                      |  ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี  | 
                        | 
                      จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป | 
                    
                     
                      | ถึงวัดตำหนักพักพลพอเสวย 
                         | 
                        | 
                      แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล... | 
                    
                     
                      | ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ 
                         | 
                        | 
                      ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง | 
                    
                     
                      | ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง 
                         | 
                        | 
                      ต้องแยกทางสองแควกระแสชล | 
                    
                     
                      | ปางบุรำคำบุราณขนานนาม  | 
                        | 
                       ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์... | 
                    
                     
                      | ...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ 
                         | 
                        | 
                      นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล | 
                    
                     
                      | โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ  | 
                        | 
                       ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน | 
                    
                     
                      | เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม 
                         | 
                        | 
                      เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน... | 
                    
                     
                      | ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม 
                         | 
                        | 
                      เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล | 
                    
                     
                      | ว่าคุ้งหน้าท่าเรือข้ามกระแส 
                         | 
                        | 
                      พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ... | 
                    
                     
                      | ...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง  | 
                        | 
                       เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา | 
                    
                     
                      | ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา  | 
                        | 
                      ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง | 
                    
                     
                      | ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น  | 
                        | 
                      พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง | 
                    
                     
                      |  ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง 
                         | 
                        | 
                      จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน | 
                    
                     
                      | เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง  | 
                        | 
                      ออกแจ้งจริงเหลือจะจำไปคำเขียน | 
                    
                     
                      | พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร  | 
                        | 
                       การเปรียญโบสถ์กุฎีชำรุดพัง... | 
                    
                     
                      | ถึงคลองสระประทุมานาวาราย 
                         | 
                        | 
                      น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา | 
                    
                     
                      | ทั้งวังหลวงวังหลั่งก็รั้งรก  | 
                        | 
                      เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา | 
                    
                     
                      | ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา  | 
                        | 
                      ดังป่าช้าพงชัฎสงัดคน  | 
                    
                     
                      | อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์  | 
                        | 
                      เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ | 
                    
                     
                      | แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน  | 
                        | 
                      จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง | 
                    
                     
                      | มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก  | 
                        | 
                      จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | 
                    
                     
                      | ดูพาราน่าคิดอนิจจัง  | 
                        | 
                      ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา | 
                    
                     
                      | ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก  | 
                        | 
                      ชตาตกสูญสิ้นพระชันษา | 
                    
                     
                      | แต่ปู่ย่าตายายเราท่านเล่ามา  | 
                        | 
                      เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ  | 
                    
                     
                      | กษัตริย์สืบสุริยวงศ์ดำรงโลก  | 
                        | 
                      ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ | 
                    
                     
                      | เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน 
                         | 
                        | 
                      เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ | 
                    
                     
                      | กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก  | 
                        | 
                      ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ | 
                    
                     
                      | ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย  | 
                        | 
                      โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย  | 
                    
                     
                      | หรือธานินทร์สิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค 
                         | 
                        | 
                      ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | 
                    
                     
                      | เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย  | 
                        | 
                      ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง... | 
                    
                     
                      | สุริยนเย็นสนธยาย่ำ  | 
                        | 
                      ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน | 
                    
                     
                      | เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ | 
                        | 
                      ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา | 
                    
                     
                      | ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก 
                         | 
                        | 
                      จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า | 
                    
                     
                      | พลพายนายไพร่บรรดามา  | 
                        | 
                      หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮึอ... | 
                    
                     
                      | ...ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย 
                         | 
                        | 
                      พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ | 
                    
                     
                      | บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร  | 
                        | 
                      เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน | 
                    
                     
                      | ครั้งรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน | 
                        | 
                      จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา | 
                    
                     
                      | เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ 
                         | 
                        | 
                      ดูเกะกะรอร้างทางพม่า  | 
                    
                     
                      | เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา 
                         | 
                        | 
                      แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง | 
                    
                     
                      | พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน  | 
                        | 
                      ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง  | 
                    
                     
                      | พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง  | 
                        | 
                      หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ... | 
                    
                     
                      | ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก 
                         | 
                        | 
                      จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ | 
                    
                     
                      | นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน  | 
                        | 
                      ถึงปากจั่นตะละเตือนให้ตรอมใจ... | 
                    
                     
                      | ...ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ 
                         | 
                        | 
                      เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย... | 
                    
                     
                      | ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง  | 
                        | 
                      ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น... | 
                    
                     
                      | ...ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ 
                         | 
                        | 
                      แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย... | 
                    
                     
                      | ...ถึงอรัญญิกแดดแผดพยับ 
                         | 
                        | 
                      เสโทซับซาบโทมนัสา | 
                    
                     
                      | ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา  | 
                        | 
                      ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ  | 
                    
                     
                      | เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด 
                         | 
                        | 
                      ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว  | 
                    
                     
                      | พยุยวบกิ่งเยือกขะเยื้อนใบ  | 
                        | 
                      ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล  | 
                    
                     
                      | ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด 
                         | 
                        | 
                      เรือตลอดแลหลามตามกระแส | 
                    
                     
                      | ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ 
                         | 
                        | 
                      ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม  | 
                    
                     
                      | ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด  | 
                        | 
                      อุตลุดขนของขึ้นกองสุม | 
                    
                     
                      | เสบียงใครใครนั่งระวังคุม  | 
                        | 
                      พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี | 
                    
                     
                      | ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสิกขา  | 
                        | 
                      ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี | 
                    
                     
                      | ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี | 
                        | 
                      แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย... | 
                    
                     
                      | ...กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก 
                         | 
                        | 
                      มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส  | 
                    
                     
                      | ที่เด่นดีขี่กูบไม่แกว่งไกว  | 
                        | 
                      วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง | 
                    
                     
                      | แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง 
                         | 
                        | 
                      เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง | 
                    
                     
                      | ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง  | 
                        | 
                      พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน | 
                    
                     
                      | อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์  | 
                        | 
                      เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ... | 
                    
                     
                      | ...สดับเสียงสัปบุรุษที่หยุดพัก 
                         | 
                        | 
                      เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน | 
                    
                     
                      | บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร  | 
                        | 
                      ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน... | 
                    
                     
                      | ...เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร  | 
                        | 
                      กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง | 
                    
                     
                      | บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นก็เซ็งแซ่ 
                         | 
                        | 
                      บ้างจอแจจัดการประสานเสียง | 
                    
                     
                      | บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง 
                         | 
                        | 
                      บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน | 
                    
                     
                      | บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง  | 
                        | 
                      เสียงโฉ่งฉ่างชามแตกกระแทกขัน  | 
                    
                     
                      | จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน  | 
                        | 
                      หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย | 
                    
                     
                      | ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก  | 
                        | 
                      กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย | 
                    
                     
                      | กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย  | 
                        | 
                      เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน | 
                    
                     
                      | สงสารนางชาวในที่ไปด้วย  | 
                        | 
                      ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น | 
                    
                     
                      | หวีกระจกตกแตกกระจายดิน  | 
                        | 
                      เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ | 
                    
                     
                      | จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา  | 
                        | 
                      แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ | 
                    
                     
                      | มือตะกายสายรัดสคนคอ  | 
                        | 
                      เห็นช้างงองวงหนีดก็หวีดอึง | 
                    
                     
                      | แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด 
                         | 
                        | 
                      สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง | 
                    
                     
                      | กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง  | 
                        | 
                      ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว | 
                    
                     
                      | บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด  | 
                        | 
                      ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว | 
                    
                     
                      | ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว  | 
                        | 
                      บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง | 
                    
                     
                      | สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก  | 
                        | 
                      บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง | 
                    
                     
                      | ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์  | 
                        | 
                      รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน | 
                    
                     
                      |  จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง  | 
                        | 
                      เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน | 
                    
                     
                      |  กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน 
                         | 
                        | 
                      ขะเยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย | 
                    
                     
                      | ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง 
                         | 
                        | 
                      ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย... | 
                    
                     
                      | ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด  | 
                        | 
                      ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง | 
                    
                     
                      | จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง  | 
                        | 
                      ไม้สล้างลู่ล้มระทมทับ | 
                    
                     
                      | รุกขชาติดาษดูระดะป่า  | 
                        | 
                      สกุณาจอแจประจำจับ | 
                    
                     
                      | ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ  | 
                        | 
                      จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ | 
                    
                     
                      | ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ  | 
                        | 
                      ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว | 
                    
                     
                      | จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร  | 
                        | 
                       ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น | 
                    
                     
                      | ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง  | 
                        | 
                      บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น | 
                    
                     
                      | มีโพธิพุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น  | 
                        | 
                      ไม่ว่างเว้นสัปปบุรุษเขาหยุดเรียง | 
                    
                     
                      | บ้างขายของสองข้างตามทางป่า  | 
                        | 
                      จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง | 
                    
                     
                      | พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง  | 
                        | 
                      เห็นของเรียงอยู่ในร้านทั้งหวานคาว | 
                    
                     
                      | แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง 
                         | 
                        | 
                      เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | 
                    
                     
                      | พี่คลื่นไส้ไสช้างให้ย่างยาว  | 
                        | 
                      มาตามราวมรคาพนาวัน | 
                    
                     
                      |  ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน  | 
                        | 
                      ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ | 
                    
                     
                      | ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน  | 
                        | 
                      ไก่เถื่อนขันขานเขาชะวาคู | 
                    
                     
                      | ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก 
                         | 
                        | 
                      ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู... | 
                    
                     
                      | ...ระยะเดินเถินทางมากลางป่า  | 
                        | 
                      สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่... | 
                    
                     
                      | ...ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง 
                         | 
                        | 
                      เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงคาดำ | 
                    
                     
                      | อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง  | 
                        | 
                      รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ... | 
                    
                     
                      | ...กำหนดนับมรคำพยายาม  | 
                        | 
                       ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย... | 
                    
                     
                      | ...จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย 
                         | 
                        | 
                      จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง | 
                    
                     
                      | กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง 
                         | 
                        | 
                      พะยอมยางตาพยัคฆ์พะยุงเหียง | 
                    
                     
                      | ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง  | 
                        | 
                      นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ... | 
                    
                     
                      | ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร  | 
                        | 
                      ในบริเวณอึกกระทึกด้วยพฤกษา | 
                    
                     
                      | ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา  | 
                        | 
                      จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน... | 
                    
                     
                      | ...ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน 
                         | 
                        | 
                      เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล... | 
                    
                     
                      | ...ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล 
                         | 
                        | 
                      จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน | 
                    
                     
                      | พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ  | 
                        | 
                      ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ | 
                    
                     
                      | เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ  | 
                        | 
                      ให้ป้องกันอันตรายในแนวไพร... | 
                    
                     
                      | ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ  | 
                        | 
                      ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน | 
                    
                     
                      | กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร  | 
                        | 
                      รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม | 
                    
                     
                      | บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด | 
                        | 
                      ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม | 
                    
                     
                      | ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม  | 
                        | 
                      สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล | 
                    
                     
                      | ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น  | 
                        | 
                      ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย | 
                    
                     
                      | ทั้งไพร่นายรายเรียงกันเรียดไป 
                         | 
                        | 
                      ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง | 
                    
                     
                      | ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ  | 
                        | 
                      ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | 
                    
                     
                      | ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง  | 
                        | 
                      ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม | 
                    
                     
                      | มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว  | 
                        | 
                       วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม | 
                    
                     
                      | ทุกที่ทับสับบุรุษก็พูดพึม  | 
                        | 
                      รุกขาครื้มครอบแสงพระจันทร | 
                    
                     
                      | เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม  | 
                        | 
                      ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร | 
                    
                     
                      | เป็นวันบรรณรสีรวีวร  | 
                        | 
                      พระจันทรทรงกลดรจนา | 
                    
                     
                      |  ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป  | 
                        | 
                       กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา | 
                    
                     
                      | ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา  | 
                        | 
                      จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย | 
                    
                     
                      | พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก  | 
                        | 
                      ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย | 
                    
                     
                      | นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย  | 
                        | 
                      พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน | 
                    
                     
                      | ดอกไม้ร้องป้องปีบสนั่นป่า  | 
                        | 
                      ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน... | 
                    
                     
                      |   | 
                        | 
                        | 
                    
                     
                      | จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก  | 
                        | 
                      บริโภคโภชนากระยาหาร | 
                    
                     
                      |  แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ 
                         | 
                        | 
                      เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย | 
                    
                     
                      |  มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น  | 
                        | 
                      พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย | 
                    
                     
                      | แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย  | 
                        | 
                      ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน | 
                    
                     
                      | ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค 
                         | 
                        | 
                      มีรูปรากษสสองอสูรขยัน | 
                    
                     
                      | แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน  | 
                        | 
                      ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น | 
                    
                     
                      | บันไดนาคนาคในบันไดนั้น  | 
                        | 
                      ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น | 
                    
                     
                      | ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น  | 
                        | 
                      ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย | 
                    
                     
                      | มีต้นกำมพฤกษ์ทานในลานวัด  | 
                        | 
                      ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย | 
                    
                     
                      | คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย  | 
                        | 
                      บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว | 
                    
                     
                      | ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น  | 
                        | 
                      มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว | 
                    
                     
                      | นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว  | 
                        | 
                      ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง | 
                    
                     
                      | ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น  | 
                        | 
                      สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง | 
                    
                     
                      | ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง 
                         | 
                        | 
                      พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน | 
                    
                     
                      | ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด 
                         | 
                        | 
                      ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์ | 
                    
                     
                      | แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน  | 
                        | 
                      ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย | 
                    
                     
                      | ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจุกแจ่ม  | 
                        | 
                      กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย | 
                    
                     
                      | มีดอกจันทน์ก้านแยงสลับลาย  | 
                        | 
                      กลางกระจายดอกจอกประจำทำ | 
                    
                     
                      | พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์  | 
                        | 
                      เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ | 
                    
                     
                      | หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ  | 
                        | 
                      กินนรร่ำรายเทพประนมกร | 
                    
                     
                      |  ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข  | 
                        | 
                      สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร | 
                    
                     
                      | ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร  | 
                        | 
                      กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง | 
                    
                     
                      | นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย  | 
                        | 
                      ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง | 
                    
                     
                      |  เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง  | 
                        | 
                      วิเวกวังเวงในหัวใจครัน | 
                    
                     
                      | บานทวารลานแลล้วนลายมุก  | 
                        | 
                      น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน | 
                    
                     
                      | เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ 
                         | 
                        | 
                      รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม | 
                    
                     
                      |  สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว  | 
                        | 
                      เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม | 
                    
                     
                      |  ชมภูพานกอดก้านกระหนกรุม | 
                        | 
                      สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง | 
                    
                     
                      | รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑเหิร  | 
                        | 
                      พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์ | 
                    
                     
                      | รูปอมรกรกำพระธำมรงค์  | 
                        | 
                      เสด็จทรงคชสารในบานบัง | 
                    
                     
                      | ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน  | 
                        | 
                      โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง | 
                    
                     
                      | จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง  | 
                        | 
                      ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม | 
                    
                     
                      | มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น  | 
                        | 
                      ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม | 
                    
                     
                      | เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม  | 
                        | 
                      พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย | 
                    
                     
                      | ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย 
                         | 
                        | 
                      ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย | 
                    
                     
                      | หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย | 
                        | 
                      ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง | 
                    
                     
                      | พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท 
                         | 
                        | 
                      อภิวาทห้ตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง | 
                    
                     
                      | กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง | 
                        | 
                      เดชะกองกุศลที่ตนทำ | 
                    
                     
                      | มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว  | 
                        | 
                      ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์... | 
                    
                     
                      | อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท | 
                        | 
                      เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ | 
                    
                     
                      | ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน 
                         | 
                        | 
                      มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง | 
                    
                     
                      | ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย  | 
                        | 
                       เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง | 
                    
                     
                      | ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง  | 
                        | 
                      มีกุฏิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน | 
                    
                     
                      | มีชะวากคูหาศิลาหุบ  | 
                        | 
                       ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ | 
                    
                     
                      |  แต่คนนมัสการนานอนันต์  | 
                        | 
                      บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย... | 
                    
                     
                      | ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา  | 
                        | 
                      ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา | 
                    
                     
                      | ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา  | 
                        | 
                      ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ | 
                    
                     
                      | หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ  | 
                        | 
                      กงกระทบเขากระจายทลายหมด | 
                    
                     
                      | ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ  | 
                        | 
                      จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน... | 
                    
                     
                      | มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ  | 
                        | 
                      ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน | 
                    
                     
                      | ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน  | 
                        | 
                      พิศเพลินพฤกษาบรรดามี | 
                    
                     
                      | อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก  | 
                        | 
                       ชื่อสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี | 
                    
                     
                      | สำคัญปากคูหาศาลามี  | 
                        | 
                       ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน | 
                    
                     
                      | เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ห้อย 
                         | 
                        | 
                      มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน... | 
                    
                     
                      | ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น 
                         | 
                        | 
                      สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง | 
                    
                     
                      | ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง | 
                        | 
                      เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดดิน | 
                    
                     
                      | พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้  | 
                        | 
                       เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน | 
                    
                     
                      |  เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน 
                         | 
                        | 
                      กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน | 
                    
                     
                      | พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น  | 
                        | 
                      ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน | 
                    
                     
                      | ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ  | 
                        | 
                      ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร | 
                    
                     
                      | พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว  | 
                        | 
                      ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ | 
                    
                     
                      | น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน  | 
                        | 
                      ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา | 
                    
                     
                      |  แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา  | 
                        | 
                      รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน | 
                    
                     
                      | บนยอดเขามีสองสุนักขา  | 
                        | 
                      สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน | 
                    
                     
                      | ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน  | 
                        | 
                      สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง... | 
                    
                     
                      | ถึงคูหาชื่อชาลวันถ้ำ 
                         | 
                        | 
                      วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง | 
                    
                     
                      | ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง  | 
                        | 
                      เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง | 
                    
                     
                      | สมมติแลแง่หินชะง่อนหุบ  | 
                        | 
                      เป็นที่รูปสิงห์สัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง | 
                    
                     
                      | กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง 
                         | 
                        | 
                      ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว | 
                    
                     
                      | ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ 
                         | 
                        | 
                      เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว | 
                    
                     
                      | ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว  | 
                        | 
                      ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย | 
                    
                     
                      | เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม  | 
                        | 
                      ศิลาแวววาววามอร่ามฉาย... | 
                    
                     
                      | จะกลับหลังยังพระพุทธบาท  | 
                        | 
                      เหนื่อยอนาฤอกใจมิใช่เล่น | 
                    
                     
                      | ครั้นค่ำนอนตะละตายทั้งกายเย็น 
                         | 
                        | 
                      ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง | 
                    
                     
                      | เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ  | 
                        | 
                      ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง | 
                    
                     
                      | เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง 
                         | 
                        | 
                      เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย | 
                    
                     
                      | สารพันกันภัยลูกนาคพช  | 
                        | 
                      เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย | 
                    
                     
                      | ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย  | 
                        | 
                      เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว | 
                    
                     
                      | หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า  | 
                        | 
                      ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว | 
                    
                     
                      | ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว 
                         | 
                        | 
                      มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง | 
                    
                     
                      | พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพง  | 
                        | 
                      เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง | 
                    
                     
                      | พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง  | 
                        | 
                      ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร | 
                    
                     
                      | กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม  | 
                        | 
                      วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน | 
                    
                     
                      | เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร  | 
                        | 
                      เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง | 
                    
                     
                      | เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม  | 
                        | 
                      โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง | 
                    
                     
                      | พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง | 
                        | 
                      กระทั่งถึงธารเกษมค่อยส่างใจ | 
                    
                     
                      | ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย  | 
                        | 
                      พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย | 
                    
                     
                      | พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว  | 
                        | 
                      สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน | 
                    
                     
                      | ดูทำนองนางในไกวชิงช้า  | 
                        | 
                      ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน | 
                    
                     
                      | เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน | 
                        | 
                      ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม | 
                    
                     
                      | ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง 
                         | 
                        | 
                      ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม | 
                    
                     
                      | พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม  | 
                        | 
                      ให้แสนโทมนัสทัศนา | 
                    
                     
                      | คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ  | 
                        | 
                      สนุกคือเรื่องอิเหนาเสนหา | 
                    
                     
                      | เมื่อใช้บนเล่นชลธารา  | 
                        | 
                      อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน | 
                    
                     
                      | ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช  | 
                        | 
                      สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน | 
                    
                     
                      | มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน  | 
                        | 
                      แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม | 
                    
                     
                      | หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ 
                         | 
                        | 
                      ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม | 
                    
                     
                      | ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม  | 
                        | 
                      แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง | 
                    
                     
                      | แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย  | 
                        | 
                      ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง | 
                    
                     
                      | ล้วนจับคู่ชู้ชายชะม้ายเมียง | 
                        | 
                      ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน... | 
                    
                     
                      | ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ 
                         | 
                        | 
                      ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม | 
                    
                     
                      | แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ  | 
                        | 
                      เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง | 
                    
                     
                      | พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า  | 
                        | 
                      เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง | 
                    
                     
                      | พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง 
                         | 
                        | 
                      หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย | 
                    
                     
                      | มีละคอนผู้คนอลหม่าน  | 
                        | 
                      กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส | 
                    
                     
                      | สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป  | 
                        | 
                      พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล | 
                    
                     
                      | ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก  | 
                        | 
                      ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ | 
                    
                     
                      | บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ  | 
                        | 
                      บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน | 
                    
                     
                      | ละคอนหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ  | 
                        | 
                      ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน | 
                    
                     
                      | มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน  | 
                        | 
                      ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ | 
                    
                     
                      | ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด  | 
                        | 
                      ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ | 
                    
                     
                      | กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ  | 
                        | 
                      คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง | 
                    
                     
                      | ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก  | 
                        | 
                      จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง | 
                    
                     
                      | แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์  | 
                        | 
                      พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร | 
                    
                     
                      | แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา  | 
                        | 
                      บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | 
                    
                     
                      | บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน  | 
                        | 
                      แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน | 
                    
                     
                      | จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง  | 
                        | 
                      จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | 
                    
                     
                      |  วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ  | 
                        | 
                      อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | 
                    
                     
                      | ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด  | 
                        | 
                      ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร | 
                    
                     
                      | แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร  | 
                        | 
                      น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย | 
                    
                     
                      | ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด  | 
                        | 
                      โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย | 
                    
                     
                      | นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย 
                         | 
                        | 
                      เราจดหมายตามมีมาชี้แจง | 
                    
                     
                      | ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ 
                         | 
                        | 
                      ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง | 
                    
                     
                      | ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง | 
                        | 
                      ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ  | 
                    
                     
                      |   | 
                        | 
                        |